การจดทะเบียนสิทธิบัตรในประเทศหนึ่งแล้วจะไม่มีผลคุ้มครองไปยังอีกประเทศหนึ่ง เนื่องจากการจดทะเบียนสิทธิบัตรในประเทศใด ก็จะต้องอยู่ภายใต้กฎหมายสิทธิบัตรของประเทศนั้นๆ ซึ่งกฎหมายในประเทศหนึ่งจะไม่สามารถบังคับใช้ไปยังประเทศที่สอง หรืออีกประเทศหนึ่งได้ เนื่องด้วยตามหลักดินแดน และ อํานาจอธิปไตยของแต่ละประเทศ กล่าวอย่างง่ายๆ คือ กฎหมายของประเทศใด ก็ย่อมใช้บังคับกับประเทศนั้น เช่น กฎหมายสิทธิบัตรประเทศไทย ก็ย่อมใช้บังคับได้แค่เฉพาะประเทศไทย ไม่สามารถไปใช้บังคับในประเทศอื่นได้
ดังนั้นการจดทะเบียนสิทธิบัตรในประเทศไทยจะไม่มีผลคุ้มครองถึงต่างประเทศด้วย ซึ่งเมื่อต้องการให้สิทธิบัตรมีผลคุ้มครองไปถึงต่างประเทศ ผู้ขอจดทะเบียนจะต้องทำการยื่นจดทะเบียนสิทธิบัตรในประเทศที่ประสงค์จะขอความคุ้มครองนั้นด้วย
(1) สามารถยื่นคำขอรับสิทธิบัตรในทุกประเทศที่ต้องการให้สิ่งประดิษฐ์ของตนได้รับความคุ้มครอง ซึ่งจะต้องเตรียมคำขอประเทศละ 1 ชุด เพื่อดำเนินการยื่นขอรับสิทธิบัตรหรือขอรับความคุ้มครองในประเทศที่ผู้ขอประสงค์จะยื่น
(2) สามารถยื่นคำขอรับสิทธิบัตรในประเทศที่เป็นสมาชิกของอนุสัญญากรุงปารีส (ประเทศสมาชิกของอนุสัญญากรุงปารีสเพื่อการคุ้มครองทรัพย์สินอุตสาหกรรม) และหลังจากนั้นจึงยื่นคำขอรับสิทธิบัตรในแต่ละประเทศสมาชิก อนุสัญญากรุงปารีสอื่น ๆ ภายในระยะเวลา 12 เดือน นับจากวันที่ได้ยื่นคำขอรับสิทธิบัตรฉบับแรกเพื่อให้ผู้ขอได้รับประโยชน์จากวันที่ได้ยื่นคำขอครั้งแรกในทุก ๆ ประเทศเหล่านั้น
เมื่อผู้ขอได้ดำเนินการยื่นคำขอรับสิทธิบัตรในแต่ละประเทศสมาชิกของอนุสัญญากรุงปารีส หรืออนุสัญญากรุงปารีสอื่น ๆ แล้ว ภายในระยะเวลา 12 เดือน นับแต่วันที่ยื่นคำขอรับสิทธิบัตรฉบับแรก ให้ดำเนินการยื่นคำขอถือสิทธิย้อนหลังเข้าไปพร้อมกับคำขอรับสิทธิบัตรที่จะยื่นในแต่ละประเทศสมาชิกนั้นด้วย
คำขอถือสิทธิย้อนหลังคือ ขอถือสิทธิให้ถือวันที่ยื่นคำขอในต่างประเทศเป็นครั้งแรกเป็นวันยื่นคำขอในประเทศนั้นๆ ที่ผู้ขอประสงค์จะยื่น ซึ่งผู้ขอจะได้รับประโยชน์ตรงนี้ คือ วันที่ผู้ขอยื่นขอรับสิทธิบัตรไว้นั้น ก็จะย้อนไปถึงวันที่เราได้ยื่นคำขอในต่างประเทศเป็นครั้งแรกเลย เช่น ผู้ขอทำการยื่นคำขอรับสิทธิบัตรในประเทศจีน เมื่อวันที่ 25 มกราคม 2564 และภายใน 12 เดือน ผู้ขอก็ได้มายื่นคำขอรับสิทธิบัตรในประเทศไทย ซึ่งก็เป็นสมาชิกของอนุสัญญากรุงปารีสด้วยเช่นกัน ทั้งนี้ ผู้ขอก็ได้ยื่นคำขอถือสิทธิย้อนหลังไปด้วย เพื่อขอถือสิทธิวันที่ยื่นในประเทศจีน เป็นวันที่ยื่นคำขอในไทยด้วย คือ 25 มกราคม 2564
(3) สามารถยื่นคำขอภายใต้ สนธิสัญญาความร่วมมือด้านสิทธิบัตร หรือ PCT (Patent Cooperation Treaty) โดยสามารถที่จะยื่นคำขอที่สำนักงานสิทธิบัตรภายในประเทศ ของตน และสำนักงานสิทธิบัตรก็จะส่งคำขอไปดำเนินการตามขั้นตอนของระบบ PCT ที่องค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลก (WIPO) ซึ่งการรับจดทะเบียนสิทธิบัตร PCT เป็นอำนาจอธิปไตยของแต่ละประเทศที่ผู้ขอประสงค์จะขอความคุ้มครอง ซึ่งจะมีการตรวจสอบตามขั้นตอนและเงื่อนไขของกฎหมายภายในประเทศนั้น ๆ ก่อนรับจดทะเบียนสิทธิบัตรต่อไป
การยื่นคำขอ PCT นี้ หากผู้ขอยื่นได้ยื่นไปในหลายๆ ประเทศ แล้วเข้าใจว่าทุกประเทศที่ยื่นไปนั้น จะต้องได้รับจดทะเบียน ซึ่งหากเข้าใจแบบนั้น เป็นการเข้าใจแบบผิดๆ เพราะระบบ PCT นั้นไม่ใช่ระบบรับจดทะเบียน แต่เป็นเพียงความตกลงระหว่างประเทศสำหรับการขอรับความคุ้มครองการประดิษฐ์ในประเทศที่เป็นสมาชิก เพื่ออำนวยความสะดวก และลดภาระของผู้ขอรับสิทธิบัตรเท่านั้น การจะรับจดทะเบียนหรือไม่รับจดทะเบียนนั้นขึ้นอยู่กับการพิจารณาคำขอรับสิทธิบัตรของแต่ละประเทศๆ ไป เป็นการพิจารณาการรับจดทะเบียนเป็นรายประเทศไป ไม่ใช่ยื่นทุกประเทศ แล้วจะได้รับจดทะเบียนทุกประเทศนั้นไม่ใช่ หรือ ยื่นคำขอรับสิทธิบัตรในประเทศหนึ่งประเทศใดแล้ว จะได้รับความคุ้มครองในทุกประเทศทั่วโลก
ยื่นจดทะเบียนสิทธิบัตรแบบระบบสนธิสัญญาความร่วมมือด้านสิทธิบัตร (PCT) สํานักงานสิทธิบัตรในประเทศไทย (International Phase)
สํานักงานสิทธิบัตรในประเทศไทย ส่งสิทธิบัตรไปตรวจสอบยัง องค์กรตรวจค้นระหว่างประเทศ (ISA) โดยองค์กรตรวจค้นระหว่างประเทศ (ISA) จะจัดทํารายงานผลการตรวจค้น ภายใน 16-18 เดือน (International Phase)
ค่าตรวจสอบ
บุคคลธรรมดาประมาณ 21,000 บาท
นิติบุคคลประมาณ 70,000 บาท
ผลรายงานผลการตรวจค้น
1.ผ่าน
2.ไม่ผ่าน
หากผลผ่าน ยื่นจดทะเบียนสิทธิบัตรแบบระบบสนธิสัญญาความร่วมมือด้านสิทธิบัตร (PCT) ในสํานักงานสิทธิบัตรในประเทศปลายทาง เช่น ประเทศไทย ประเทศอเมริกา (Nation Phase)
ค่าธรรมเนียมดำเนินการรวมค่าบริการตัวแทนในประเทศปลายทางประมาณ 50,000-200,000 บาท
ขั้นตอนการพิจารณาของสํานักงานสิทธิบัตรในประเทศปลายทาง (Nation Phase)
1.ยื่นจดทะเบียน
2.ประกาศโฆษณา
3.ร้องขอให้ตรวจสอบการประดิษฐ์
4.อนุมัติรับจดทะเบียน (คุ้มครอง 20 ปี)
ระยะเวลาพิจารณา 2-4 ปี
PCT ย่อมาจาก Patent Cooperation Treaty เป็นความตกลงระหว่างประเทศสำหรับการขอรับความคุ้มครองการประดิษฐ์ในประเทศที่เป็นสมาชิก เพื่ออำนวยความสะดวก และลดภาระของผู้ขอรับสิทธิบัตร แทนที่จะต้องไปยื่นคำขอรับสิทธิบัตรในประเทศต่าง ๆ แต่ละประเทศที่ผู้ขอประสงค์จะขอรับความคุ้มครอง โดยสามารถที่จะยื่นคำขอที่สำนักงานสิทธิบัตรภายในประเทศ ของตน สำนักงานสิทธิบัตรก็จะส่งคำขอไปดำเนินการตามขั้นตอนของระบบ PCTที่องค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลก (WIPO)
ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 ขั้นตอน คือ
1.ขั้นตอนระหว่างประเทศ (International Phase)
จะข้องเกี่ยวกับการดำเนินการต่างๆ ก่อนเข้าประเทศปลายทาง โดยที่คำขอรับสิทธิบัตรที่จะยื่นผ่านระบบ PCT นั้นจะต้องดำเนินการภายใต้กฎเกณฑ์และเงื่อนไขเวลาที่กำหนดโดยองค์การทรัพย์สินทางปัญญา (WIPO)
เช่น
เมื่อได้ผลการตรวจสอบ ก็สามารถดำเนินการในขั้นตอนขาเข้าประเทศต่อไป โดยเลือกว่าจะไปยื่นจดในประเทศใดบ้าง ทาง WIPO จะเป็นผู้ยื่นคำขอเหล่านี้ไปยังประเทศต่าง ๆ ซึ่งถือเป็นอันสิ้นสุดกระบวนการของการยื่นคำขอ PCT
2.ขั้นตอนในประเทศ (National Phase)
เป็นขั้นตอนเข้าไปขอรับความคุ้มครองในประเทศปลายทาง ซึ่งผู้ขอจะต้องดำเนินการตามข้อกำหนดและกฎหมายของประเทศนั้นๆ ที่จะตรวจสอบการประดิษฐ์และรับจดทะเบียนคำขอ PCT ต่อไป เช่น
*หมายเหตุ การที่คำขอระหว่างประเทศใดได้รับอนุมัติการจดทะเบียนในประเทศหนึ่งแล้ว ก็ไม่ได้หมายความว่าจะได้รับอนุมัติการจดทะเบียนในประเทศอื่นๆด้วย ทั้งนี้ เนื่องจากการอนุมัติการจดทะเบียนของแต่ละประเทศย่อมขึ้นอยู่กับกฎหมายของประเทศนั้นๆ
บริษัทกฎหมายที่ให้บริการด้านทรัพย์สินทางปัญญาแบบครบวงจร ทั้งการดำเนินการยื่นจดทะเบียนเครื่องหมายการค้า สิทธิบัตร ลิขสิทธิ์ ทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ รวมถึงการดำเนินคดีทางทรัพย์สินทางปัญญา และบริการด้านกฎหมายอื่นๆ